
Metal for Satan
วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
html
คณะวิชาศิลปกรรม
วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี
ปวส.1 สาขาวิชาคอมพิวเตอร์กราฟิก รุ่นที่ 07/53

นาย อติชาต สังข์กังวาล
ที่อยู่ 78 ซ.เจริญรัถ 20 ถ.เจริญรัถ แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน
คติประจำใจ ออกแบบคือความภาคภูมิใจ
อาหารที่ชอบ อาหารญี่ปุ่น ศิลปินในดวงใจ Nergal นักร้องวง Behemoth เบอร์โทร 087-096-0166 E-mail-fineartsatan@hotmail.com แนวดนตรีที่ฟัง Black Metal,Death Metal,Hardcore,J-Rock THONBUREE VOCATIONAL COLLEGE 182 panitchakanthonburi bangkokyai bangkok Thailand
วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553
HISTORY
HISTORY (ประวัติส่วนตัว)

นาย อติชาต สังข์กังวาล
ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี แผนกคอมพิวเตอร์กราฟิกอาร์ต
อายุ 18 เพศชาย เกิดวันที่ 12/2/35
สีที่ชอบ ดำ แดงเลือด เขียว นำตาล
สิ่งที่ชอบ เกมส์ การ์ตูน หนังสือ เพลง ภาพยนต์ วาดภาพ ทำงานศิลปะ และก็อีกเยอะแยะ
สิ่งที่ไม่ชอบ อะไรก็ช่างที่ทำให้หงุดหงิด ความเบื่อหน่าย ไม่มีอะไรทำ
ที่อยู่ 78 ซ.เจริญรัถ 20 ถ.เจริญรัถ แขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน
แนวดนตรีที่ฟัง เมทัลทุกประเภท เช่น Black Metal,Death Metal,Dark Metal J-Rock/Pop Dead Rock Hardcore
งานอดิเรก ฟังเพลง วาดภาพเล่น ดูหนัง
อาหารที่ชอบ เยอะแยะ
อาหารที่ไม่ชอบ ก็เยอะอีกล่ะ
สิ่งที่ชอบคิดตลอด เกลียดโลกใบนี้!!!!
สิ่งที่อยากทำ ทำอะไรก็ได้ที่ทำให้มีความสุข
ศิลปะที่ชอบ Dark Art
e-mail : fineartsatan@hotmail.com
BLACK METAL
METAL


แต่ในทางกลับกัน ในส่วนของเนื้อหาเพลงหรือเนื้อร้องยังคงวนเวียนอยู่แต่เรื่องภูติผีปีศาจ ซาตาน ศาสนา ฆ่าพระเจ้า มนต์ดำ อาจมีเสริมเพิ่มขึ้นมาก็ เช่น พวกแวมไพร์หรือพวกรักร่วมเพศ โดยเฉพาะตำนานพื้นเมืองไวกิ้งหรือตำนานเทพแถบ Scandinavian ไม่เคยห่างหายไปจากวงการ Black เลย ไม่ว่าวงดนตรีนั้นๆ จะมาจากส่วนอื่นๆ ของโลกที่ไม่ใช่ Scandinavian ก็ตาม เนื้อหาก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องราวในแถบนี้อยู่ และวง Black Metal ก็จะมีถิ่นกำเนิดในยุโรปเป็นส่วนมาก
มีหลายคนยกให้ Dark Funeral จากสวีเดนเปรียบเป็นจุดอุบัติการณ์ของคลื่นลูกที่ 3 (Third Wave) ซึ่งยังคงยึดติดความโหดเหี้ยมและบูชาซาตานอย่างเต็มเหนี่ยว และยังคงเป็นหัวหอกของแวดวง Black สมัยใหม่ภายใต้แนวความคิดแบบ Old School อีกมากมายหลายคณะทั่วยุโรป เช่น Drauphir, Watain, Deathspell Omega ซึ่งยังคงความโหดร้าย ดิบ รวดเร็วของ sound ดนตรีไว้ และยังคงไว้ซึ่งความลึกลับดำมืดของศาสตร์จากนรก และหมกมุ่นกับปีศาจใฝ่ซาตาน
ถ้าจะพูดถึงแนวเพลง Heavy Metal หรือเพลง Metal คนทั่วๆ ไปอาจจะนึกถึงบรรดาเพลงหนัก
กระโหลกหนวกหูทั้งหลาย ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วก็พวกที่แต่งตัวมืดๆ ทึมๆ ดำๆ เครื่องประดับหนาม โลหะมันวาวแว้บ หน้าตานักดนตรีผิดระเบียบสุดๆ รอยสักแบบมาสมัครงานใครก็ไม่รับ แล้วคนทั่วๆ ไปก็จะรวบเพลง Metal ทุกแขนงไว้ใน set เดียวกัน คือ Metal (แค่นั้น ...!)
แต่ตอนนี้เราจะมาพูดถึงแขนงหนึ่งของเพลง Metal หรือเป็น sub-set ของ Metal คือ Black Metal ว่ามันคืออะไร ...ทำไม Metal ธรรมดาว่าดำมืดแล้ว ยังมีคุณศัพท์ของมันว่า Black (ดำ) เข้าไปอยู่ข้างหน้าอีก แสดงถึงความสุดขั้วทางด้านมืดเลยหรือ (วะ)?
หรือคนที่มีความเข้าใจในโลกเมทัลมากกว่านั้นหน่อย อาจสงสัยและถามกันมามากว่าพวก Black Metal เป็นพวกบูชาซาตานจริงหรือ? แล้วต่อต้านพระคริสต์จริงหรือ? แล้วพวกนี้มักมีถิ่นกำเนิดกระจุกกันอยู่แถบๆ Scandinavia (ยุโรปทางเหนือ พวก นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก) แสดงว่าพวกเค้ามาจากพวกบรรพบุรุษไวกิ้งป่าเถื่อนนอกรีตหรือ? แล้วพวก (มัน) แต่งหน้าทำไม แล้ว ...? ฯลฯ
Black Metal เป็นกิ่งแขนงหนึ่งของแนวดนตรี Metal มันไม่ได้หล่นตุ้บลงมาจากสวรรค์หรือผุดพรวดมาจากนรกแล้วตั้งชื่อมันว่า Black Metal ทันที โดยทั่วไปเชื่อกันว่าน่าจะมีที่มาจากยุครอยต่อของยุค และรอยแตกแขนงจาก Trash Metal
แต่ตอนนี้เราจะมาพูดถึงแขนงหนึ่งของเพลง Metal หรือเป็น sub-set ของ Metal คือ Black Metal ว่ามันคืออะไร ...ทำไม Metal ธรรมดาว่าดำมืดแล้ว ยังมีคุณศัพท์ของมันว่า Black (ดำ) เข้าไปอยู่ข้างหน้าอีก แสดงถึงความสุดขั้วทางด้านมืดเลยหรือ (วะ)?
หรือคนที่มีความเข้าใจในโลกเมทัลมากกว่านั้นหน่อย อาจสงสัยและถามกันมามากว่าพวก Black Metal เป็นพวกบูชาซาตานจริงหรือ? แล้วต่อต้านพระคริสต์จริงหรือ? แล้วพวกนี้มักมีถิ่นกำเนิดกระจุกกันอยู่แถบๆ Scandinavia (ยุโรปทางเหนือ พวก นอร์เวย์ สวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก) แสดงว่าพวกเค้ามาจากพวกบรรพบุรุษไวกิ้งป่าเถื่อนนอกรีตหรือ? แล้วพวก (มัน) แต่งหน้าทำไม แล้ว ...? ฯลฯ
Black Metal เป็นกิ่งแขนงหนึ่งของแนวดนตรี Metal มันไม่ได้หล่นตุ้บลงมาจากสวรรค์หรือผุดพรวดมาจากนรกแล้วตั้งชื่อมันว่า Black Metal ทันที โดยทั่วไปเชื่อกันว่าน่าจะมีที่มาจากยุครอยต่อของยุค และรอยแตกแขนงจาก Trash Metal
The First Wave
ภาพของ Black Metal ที่เห็นกันในปัจจุบันมีจุดเริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ ในปี 1982 คณะ Venom ได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกดนตรีแนว Black ซึ่งกลายพันธุ์มาจาก Trash Metal ซึ่งตัว Venom เอง สื่อของฝรั่งเค้าก็ไม่ได้จัดเข้าไว้ในหมวดหมู่ของ Black Metal แต่อย่างใด จัดเอาไว้เป็น Trash Metal ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวดนตรี Black
Metal ด้วยเนื้อหา-ภาพลักษณ์ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความลึกลับ ดำมืดและซาตาน ประกอบกับซาวนด์ที่หนักหน่วงสุดตีนถีบ ดิบกระด้างและเสียงร้องปนสำรอก กรีดโหยหวนประดุจเสียงปีศาจจากอเวจีและยังเริ่มมีการใช้ชื่อนามแฝง (Pseudonym) แทนชื่อเสียงเรียงนามที่แท้จริงของสมาชิกในวง ซึ่งเป็นต้นแบบให้วง Black รุ่นหลังทำตามกันเป็นทิวแถว
แต่ภาพของ Black Metal ที่แท้จริง กลับปรากฏขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างหลังจากอัลบัมชุดแรกของ Venom ในปี 1981 (Welcome to Hell) เป็น 10 ปีเลยทีเดียว กว่าจะผ่านห้วงวิวัฒน์แห่งเวลากลายเป็น Black Metal ในปัจจุบัน
ซึ่งเอกลักษณ์ของ Venom ที่กลายมาเป็นแม่พิมพ์และแรงบันดาลใจของวง Black ก็เช่น ลักษณะการร้องสำรอก รก แหกปาก ดนตรีเร็ว หนัก การใช้ชื่อนามแฝง เป็นต้น
อาจมีบางคนแย้งว่า “ถ้าวัดกันโดยเนื้อหาและท่วงทำนองเพลงที่หม่นมืดกับภาพลึกลับ ทำไมถึงไม่นับคณะ Black Sabbath ไปเป็นต้นกำเนิดของ Black Metal ล่ะ” ...ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ แต่ถ้านับ Black sabbath เข้าไปอยู่ในหมวด Black ด้วยแล้ว อาจจะมีที่ดูเก๋าเกมกว่า Black Sabbath สักหน่อย คือวง Progressive Rock จากเมือง Leicester (คนไทยรู้จักในชื่อเลสเตอร์) แดนผู้ดีอังกฤษนาม Black Widow ซึ่งอยู่ในวงการเพลงช่วงยุคต้น 70 ร่วมสมัยร่วมแดนอังกฤษกับ Black Sabbath (บ้างก็ว่าคนอังกฤษยุคนั้นถึงกับจำสลับสับสนกันระหว่าง 2 วงนี้)
โดยเนื้อหาเพลงและการแสดงสดของ Black Widow นั้นมุ่งเน้นไปที่ซาตาน sex และมนต์ดำ อย่างลึกซึ้งรุนแรงมากกว่า Sabbath (เค้าบอกว่าศึกษาเรื่องพรรค์นั้นมาดีกว่า) ...แต่ด้วยความที่ Black Sabbath มีจุดขายชัดกว่า อยู่ค่ายใหญ่กว่า และมี Ozzy Osbourne จึงดังกว่า คนจึงรู้จัก Black Sabbath มากกว่าในฐานะตัวแทนเพลง Metal แห่งยุค 70 และกลายเป็นแรงบันดาลใจของ Heavy Metal รุ่นหลัง
ภาพของ Black Metal ที่เห็นกันในปัจจุบันมีจุดเริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษ ในปี 1982 คณะ Venom ได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกดนตรีแนว Black ซึ่งกลายพันธุ์มาจาก Trash Metal ซึ่งตัว Venom เอง สื่อของฝรั่งเค้าก็ไม่ได้จัดเข้าไว้ในหมวดหมู่ของ Black Metal แต่อย่างใด จัดเอาไว้เป็น Trash Metal ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับแนวดนตรี Black

แต่ภาพของ Black Metal ที่แท้จริง กลับปรากฏขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างหลังจากอัลบัมชุดแรกของ Venom ในปี 1981 (Welcome to Hell) เป็น 10 ปีเลยทีเดียว กว่าจะผ่านห้วงวิวัฒน์แห่งเวลากลายเป็น Black Metal ในปัจจุบัน
ซึ่งเอกลักษณ์ของ Venom ที่กลายมาเป็นแม่พิมพ์และแรงบันดาลใจของวง Black ก็เช่น ลักษณะการร้องสำรอก รก แหกปาก ดนตรีเร็ว หนัก การใช้ชื่อนามแฝง เป็นต้น
อาจมีบางคนแย้งว่า “ถ้าวัดกันโดยเนื้อหาและท่วงทำนองเพลงที่หม่นมืดกับภาพลึกลับ ทำไมถึงไม่นับคณะ Black Sabbath ไปเป็นต้นกำเนิดของ Black Metal ล่ะ” ...ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ แต่ถ้านับ Black sabbath เข้าไปอยู่ในหมวด Black ด้วยแล้ว อาจจะมีที่ดูเก๋าเกมกว่า Black Sabbath สักหน่อย คือวง Progressive Rock จากเมือง Leicester (คนไทยรู้จักในชื่อเลสเตอร์) แดนผู้ดีอังกฤษนาม Black Widow ซึ่งอยู่ในวงการเพลงช่วงยุคต้น 70 ร่วมสมัยร่วมแดนอังกฤษกับ Black Sabbath (บ้างก็ว่าคนอังกฤษยุคนั้นถึงกับจำสลับสับสนกันระหว่าง 2 วงนี้)
โดยเนื้อหาเพลงและการแสดงสดของ Black Widow นั้นมุ่งเน้นไปที่ซาตาน sex และมนต์ดำ อย่างลึกซึ้งรุนแรงมากกว่า Sabbath (เค้าบอกว่าศึกษาเรื่องพรรค์นั้นมาดีกว่า) ...แต่ด้วยความที่ Black Sabbath มีจุดขายชัดกว่า อยู่ค่ายใหญ่กว่า และมี Ozzy Osbourne จึงดังกว่า คนจึงรู้จัก Black Sabbath มากกว่าในฐานะตัวแทนเพลง Metal แห่งยุค 70 และกลายเป็นแรงบันดาลใจของ Heavy Metal รุ่นหลัง
ข้ามไปยังอีกซีกหนึ่งของทวีป ณ ดินแดนสวีเดน คณะ Bathory เป็นคณะแรกในแถบนั้น ที่เป็นผู้หยั่งรากความดำมืดลงบนผืนแผ่นดินไวกิ้ง ซึ่งนำโดย Quorthon (Thomas Forsberg) ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ให้กำเนิดดนตรีแนวนี้ในเขตยุโรปซีกน้ำแข็ง ซึ่งได้ดึงมาตรฐานดีๆ ของ Venom มาทำให้มีความดิบและโหดมากขึ้น เร็วแรงขึ้น ซึ่งปรากฎในอัลบัม The Return และยังมีส่วนดีๆ ที่ Bathory ริเริ่มเพิ่มเข้าไปคือ การนำเครื่องดนตรีคลาสสิก ดนตรีพื้นเมืองและเนื้อหาเกี่ยวกับเทพ ปีศาจและตำนานพื้นเมืองของ Scandinavian (Norse Mythology) ใส่ลงไปในบทเพลง ซึ่งนั่นก็ถือเป็นต้นแบบให้วง Black รุ่นหลังๆ ทำตามอีกเช่นกัน
The Second Wave
หลังจากผ่านพ้นช่วงวิวัฒนาการและการกลายพันธุ์ ประมาณช่วงรอยต่อของทศวรรษที่ 80-90 เหล่าชนเผ่าชุดดำก็ได้สถาปนาแนวดนตรี Black Metal ขึ้นมาจนเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน มีแนวของดนตรีที่เรียกว่า Black Metal เกิดขึ้นจริงๆ จังๆ ถ้านับยุคคลื่นลูกแรก (first wave) เป็นการตั้งไข่ ยุคนี้น่าจะเรียกได้ว่า ตั้งไข่แล้ววิ่งไปฆ่าคนเลย เพราะยุคนี้เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ระดับพลิกวงการ Metal มากมาย จนทำให้ภาพของความบ้าคลั่งติดกับ Black Metal อย่างแยกกันไม่ออก
หลังจากผ่านพ้นช่วงวิวัฒนาการและการกลายพันธุ์ ประมาณช่วงรอยต่อของทศวรรษที่ 80-90 เหล่าชนเผ่าชุดดำก็ได้สถาปนาแนวดนตรี Black Metal ขึ้นมาจนเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน มีแนวของดนตรีที่เรียกว่า Black Metal เกิดขึ้นจริงๆ จังๆ ถ้านับยุคคลื่นลูกแรก (first wave) เป็นการตั้งไข่ ยุคนี้น่าจะเรียกได้ว่า ตั้งไข่แล้ววิ่งไปฆ่าคนเลย เพราะยุคนี้เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ระดับพลิกวงการ Metal มากมาย จนทำให้ภาพของความบ้าคลั่งติดกับ Black Metal อย่างแยกกันไม่ออก
ไปเริ่มต้นที่ Scandinavian อีกเช่นเคย โดยเริ่มต้นที่ Norway มีกลุ่มศิลปินมากมาย เช่น คณะ Mayhem, Burzum, Immortal, Darkthrone เป็นต้น ซึ่งบรรยากาศเพลงในยุคนี้ไม่เพียงแต่เพิ่ม sound ที่เน้นบรรยากาศหลอนประสาทเข้าไปเท่านั้น แต่พวกท่านทั้งหลายยังเน้นวิธีการนำเสนอภาพลักษณ์โหดร้ายสุดเท้าถีบ คลั่งลัทธิทั้งบนเวทีแสดงและนอกเวที เช่น การเผาโบสถ์ มีพฤติกรรมข้องแวะลัทธินาซี มีแม้กระทั่งตั้งลัทธิของตนเอง คือไม่ได้โหดกันแค่นามธรรมหรือโหดกันแต่ปาก ว่างั้น ...

อีกตัวอย่างหนึ่งก็เช่น ปกอัลบั้มของวง Mayhem ศพของ Dead นักร้องในยุคนั้นซึ่งยิงตัวตาย (หลังจากที่ใช้มีดกรีดข้อมือไม่สำเร็จ !!!) Euronymous ซึ่งเป็นมือกีตาร์สุดบ้า เป็นคนพบศพ แทนที่จะแจ้งตำรวจ มันหากล้องมาถ่ายรูปเก็บไว้ ภายหลังได้มาเป็นปก ฺBootlegs: Dawn of the Black Heart (1991) ต่อมาในปี 1993 Euronymous ถูกมือเบสที่มาเล่นให้ช่วงนั้นคือ Varg Vikernes แทงถึง 23 แผลจนเสียชีวิต นี่คือวีรกรรมคร่าวๆ ของวง Black ยุคนั้น
เนื้อหาของเพลงในช่วงนี้ ยังคงฝังแน่นไปด้วยความดำมืด เชิดชูความรุนแรง ชิงชังมนุษย์และได้เริ่มมีวัฒนธรรมการแต่งหน้ากันอย่างเป็นจริงเป็นจัง ซึ่งคาดกันว่าคนที่เริ่ม paint หน้าตาตัวเองจนเป็นต้นแบบของชน Black น่าจะเป็น King Diamond ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวข้องเป็นศิลปิน Black แต่อย่างใด ในการแต่งหน้าเขียนตาสีขาวและดำในยุคนั้นที่ได้รับอิทธิพลมาจาก King Diamond ก็คือ Corpses Paint (การแต่งเป็นศพ !!!) ต่อมาแทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์บังคับบ่งถึงความเป็น Black ไปเลย เป็นสิ่งบอกถึงความเป็นปัจเจกจากแนวดนตรี Rock และ Metal แนวอื่นๆ ส่วนในเรื่องลักษณะการแต่งหน้าก็มีต่างๆ กันไป เช่น แต่งเป็นศพ เป็นปีศาจ เป็นแวมไพร์ เป็นพวกผิดเพศก็มี ซึ่งส่วนใหญ่ก็เน้นสีขาวดำเป็นหลัก
คุณภาพของการผลิตผลงานในยุคนั้น คณะ Black ทั้งหลายนิยมผลิตผลงานกันในแบบใต้ดิน คุณภาพจึงค่อนข้างต่ำและการแพร่ขยายของกลุ่มคนฟังจึงเป็นไปได้ยาก คนที่จะฟังจริงๆ ก็ยังเป็นพวกชอบฟังเพลง Underground (ใต้ดิน) เป็นหลัก ซึ่งโดยธรรมดาแล้วคนพวกนี้ก็มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับ Mainstream (กระแสหลัก ...เพลงตลาดนั่นเอง) จนเคยมีการจำแนกแนวเพลง Blackไปเป็น sub-set ของ Death Metal ก็มี เช่น ถูกเรียกว่า Blackened Death Metal หรือ Death /Black ซึ่งกว่าที่จะแพร่หลายกระจายเข้าหูคนฟัง จนกระทั่งเป็นแนว Black Metal จริงๆ ก็ปาเข้าไปกลางทศวรรษที่ 90
คุณภาพของการผลิตผลงานในยุคนั้น คณะ Black ทั้งหลายนิยมผลิตผลงานกันในแบบใต้ดิน คุณภาพจึงค่อนข้างต่ำและการแพร่ขยายของกลุ่มคนฟังจึงเป็นไปได้ยาก คนที่จะฟังจริงๆ ก็ยังเป็นพวกชอบฟังเพลง Underground (ใต้ดิน) เป็นหลัก ซึ่งโดยธรรมดาแล้วคนพวกนี้ก็มีจำนวนน้อยเมื่อเทียบกับ Mainstream (กระแสหลัก ...เพลงตลาดนั่นเอง) จนเคยมีการจำแนกแนวเพลง Blackไปเป็น sub-set ของ Death Metal ก็มี เช่น ถูกเรียกว่า Blackened Death Metal หรือ Death /Black ซึ่งกว่าที่จะแพร่หลายกระจายเข้าหูคนฟัง จนกระทั่งเป็นแนว Black Metal จริงๆ ก็ปาเข้าไปกลางทศวรรษที่ 90
Modern Black Metal
ในขณะที่เกิดการล่มสลายของยุค Old School ในช่วงกลางยุค ’90 ไม่ว่าจะเป็นในวงการ Pop หรือ Rock แม้แต่วงการ Black เอง ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลง มีศิลปินแนว Black ยุคใหม่ รุ่นใหม่เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะนำเสนอผลงานของตัวเองในแบบที่เป็นศิลปินจริง เป็นคนดนตรี นักดนตรี ไม่ได้เป็นพวกคลั่งลัทธิเหมือนยุคก่อน นักดนตรีในวง Black ยุคใหม่พยายามที่จะยกระดับคุณภาพของ production ขึ้นมาให้ได้มาตรฐาน แต่ยังคงความโหดร้ายของเนื้อหาไว้ได้อย่างครบถ้วน ภาพของความโหดร้ายบูชาซาตานนั้น กลายเป็นเพียงภาพหรือนามธรรม ไม่ได้มาอยู่ในชีวิตของศิลปินอีกต่อไป เนื่องจากคนดนตรีเป็นนักดนตรีจริงๆ กลายเป็นเพียงภาพที่ติดมาจากยุคก่อนเก่า กลายเป็นเพียงการแสดงบนเวทีเท่านั้น ศิลปะการแต่งหน้าขาว-ดำ ชุดดำ หนาม ขวาน ดาบ ดาว 5 แฉก กลายเป็นโลโก้อย่างถาวร
ในส่วนของภาคดนตรีนั้น นอกจากจะยกระดับของการบันทึกเสียงขึ้นมา ยังมีการใช้เสียงสังเคราะห์หรือใช้แม้กระทั่งวง Orchestra ชุดใหญ่ เพื่อเพิ่มความอลังการ และความเป็น epic มากขึ้น เพิ่มความสละสลวยของเมโลดี้เข้าไป จนดูเหมือนว่าขอบเขตแดนของ Black Metal เริ่มมีการซ้อนทับกับแนวดนตรีอื่นและมีการนำดนตรีอื่นเข้ามาผสม เช่น chant (เพลงสวด), ลาติน, synth (เสียงดนตรีสังเคราะห์) ต่างๆ ทำให้บางทีพวกแฟนพันธุ์แท้ของพวก Black เข้าไส้ อาจรู้สึกไปว่า วงการ Black สมัยนี้อาจจะแหย่นิ้วเท้า (ตีน) ข้างหนึ่งเข้าไปในกระแส Mainstream แล้วก็ได้ เช่นที่รู้จักกันทั่วๆไป อย่าง Dimmu Borgir
ในขณะที่เกิดการล่มสลายของยุค Old School ในช่วงกลางยุค ’90 ไม่ว่าจะเป็นในวงการ Pop หรือ Rock แม้แต่วงการ Black เอง ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลง มีศิลปินแนว Black ยุคใหม่ รุ่นใหม่เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะนำเสนอผลงานของตัวเองในแบบที่เป็นศิลปินจริง เป็นคนดนตรี นักดนตรี ไม่ได้เป็นพวกคลั่งลัทธิเหมือนยุคก่อน นักดนตรีในวง Black ยุคใหม่พยายามที่จะยกระดับคุณภาพของ production ขึ้นมาให้ได้มาตรฐาน แต่ยังคงความโหดร้ายของเนื้อหาไว้ได้อย่างครบถ้วน ภาพของความโหดร้ายบูชาซาตานนั้น กลายเป็นเพียงภาพหรือนามธรรม ไม่ได้มาอยู่ในชีวิตของศิลปินอีกต่อไป เนื่องจากคนดนตรีเป็นนักดนตรีจริงๆ กลายเป็นเพียงภาพที่ติดมาจากยุคก่อนเก่า กลายเป็นเพียงการแสดงบนเวทีเท่านั้น ศิลปะการแต่งหน้าขาว-ดำ ชุดดำ หนาม ขวาน ดาบ ดาว 5 แฉก กลายเป็นโลโก้อย่างถาวร
ในส่วนของภาคดนตรีนั้น นอกจากจะยกระดับของการบันทึกเสียงขึ้นมา ยังมีการใช้เสียงสังเคราะห์หรือใช้แม้กระทั่งวง Orchestra ชุดใหญ่ เพื่อเพิ่มความอลังการ และความเป็น epic มากขึ้น เพิ่มความสละสลวยของเมโลดี้เข้าไป จนดูเหมือนว่าขอบเขตแดนของ Black Metal เริ่มมีการซ้อนทับกับแนวดนตรีอื่นและมีการนำดนตรีอื่นเข้ามาผสม เช่น chant (เพลงสวด), ลาติน, synth (เสียงดนตรีสังเคราะห์) ต่างๆ ทำให้บางทีพวกแฟนพันธุ์แท้ของพวก Black เข้าไส้ อาจรู้สึกไปว่า วงการ Black สมัยนี้อาจจะแหย่นิ้วเท้า (ตีน) ข้างหนึ่งเข้าไปในกระแส Mainstream แล้วก็ได้ เช่นที่รู้จักกันทั่วๆไป อย่าง Dimmu Borgir
Dark Funeral Gorgoroth Dimmu Borgir



แต่ในทางกลับกัน ในส่วนของเนื้อหาเพลงหรือเนื้อร้องยังคงวนเวียนอยู่แต่เรื่องภูติผีปีศาจ ซาตาน ศาสนา ฆ่าพระเจ้า มนต์ดำ อาจมีเสริมเพิ่มขึ้นมาก็ เช่น พวกแวมไพร์หรือพวกรักร่วมเพศ โดยเฉพาะตำนานพื้นเมืองไวกิ้งหรือตำนานเทพแถบ Scandinavian ไม่เคยห่างหายไปจากวงการ Black เลย ไม่ว่าวงดนตรีนั้นๆ จะมาจากส่วนอื่นๆ ของโลกที่ไม่ใช่ Scandinavian ก็ตาม เนื้อหาก็ยังคงวนเวียนอยู่กับเรื่องราวในแถบนี้อยู่ และวง Black Metal ก็จะมีถิ่นกำเนิดในยุโรปเป็นส่วนมาก
มีหลายคนยกให้ Dark Funeral จากสวีเดนเปรียบเป็นจุดอุบัติการณ์ของคลื่นลูกที่ 3 (Third Wave) ซึ่งยังคงยึดติดความโหดเหี้ยมและบูชาซาตานอย่างเต็มเหนี่ยว และยังคงเป็นหัวหอกของแวดวง Black สมัยใหม่ภายใต้แนวความคิดแบบ Old School อีกมากมายหลายคณะทั่วยุโรป เช่น Drauphir, Watain, Deathspell Omega ซึ่งยังคงความโหดร้าย ดิบ รวดเร็วของ sound ดนตรีไว้ และยังคงไว้ซึ่งความลึกลับดำมืดของศาสตร์จากนรก และหมกมุ่นกับปีศาจใฝ่ซาตาน
วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553
RAM (Random-Access Memory)
RAM (Random-Access Memory)
ประวัติความเป็นมาของ RAM
เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้แรมในการเก็บโปรแกรมและข้อมูลระหว่างการประมวลผล คุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งของแรมคือความเร็วที่ใช้เข้าหนึ่งตำแหน่งต่างๆ ในหน่วยความจำมีค่าเท่าๆ กัน ซึ่งต่างจากเทคโนโลยีอื่นบางอย่างซึ่งต้องใช้เวลารอกว่าที่บิตหรือไบต์จะมาถึง
ระบบแรกๆ ที่ใช้หลอดสุญญากาศทำงานคล้ายกับแรมในสมัยปัจจุบันถึงแม้ว่าอุปกรณ์จะเสียบ่อยกว่ามาก หน่วยความจำแบบแกนเฟอร์ไรต์ (core memory) ก็มีคุณสมบัติในการเข้าถึงข้อมูลแบบเดียวกัน แนวความคิดของหน่วยความจำที่ทำจากหลอดและแกนเฟอร์ไรต์ก็ยังใช้ในแรมสมัยใหม่ที่ทำจากวงจรรวม
หน่วยความจำหลักแบบอื่นมักเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ที่มีเวลาเข้าถึงข้อมูลไม่เท่ากัน เช่น หน่วยความจำแบบดีเลย์ไลน์ (delay line memory) ที่ใช้คลื่นเสียงในท่อบรรจุปรอทในการเก็บข้อมูลบิต หน่วยความจำแบบดรัม ซึ่งทำงานใกล้เคียงฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบัน เป็นข้อมูลในรูปของแม่เหล็กในแถบแม่เหล็กรูปวงกลม
แรมหลายชนิดมีคุณสมบัติ volatile หมายถึงข้อมูลที่เก็บจะสูญหายไปถ้าปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แรมสมัยใหม่มักเก็บข้อมูลบิตในรูปของประจุไฟฟ้าในตัวเก็บประจุ ดังเช่นกรณี ไดนามิคแรม หรือในรูปสถานะของฟลิปฟล็อป ดังเช่นของ สแตติกแรม
ปัจจุบันมีการพัฒนาแรมแบบ non-volatile ซึ่งยังเก็บรักษาข้อมูลถึงแม้ว่าไม่มีไฟเลี้ยงก็ตาม เทคโนโลยีที่ใช้ ก็เช่น เทคโนโลยีนาโนทิวจากคาร์บอน (carbon nanotube) และ ปรากฏการณ์ magnetic tunnel
ในฤดูร้อนปี พ.ศ. 2546 มีการเปิดตัวแรมแบบแม่เหล็ก (Magnetic RAM, MRAM) ขนาด 128 Kib ซึ่งผลิตด้วยเทคโนโลยีระดับ 0.18 ไมครอน หัวใจของแรมแบบนี้มาจากปรากฏการณ์ magnetic tunnel ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2547 บริษัท อินฟินิออน (Infineon) เปิดตัวต้นแบบขนาด 16 Mib อาศัยเทคโนโลยี 0.18 ไมครอนเช่นเดียวกัน
สำหรับหน่วยความจำจากคอร์บอนนาโนทิว บริษัท แนนเทโร (Nantero) ได้สร้างต้นแบบขนาน 10 GiB ในปี พ.ศ. 2547
ในเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถจองแรมบางส่วนเป็นพาร์ติชัน ทำให้ทำงานได้เหมือนฮาร์ดดิสก์แต่เร็วกว่ามาก มักเรียกว่า แรมดิสค์ (ramdisk)
SDRAM
อาจจะกล่าวได้ว่า SDRAM (Synchronous Dynamic Random Access Memory) นั้นเป็น Memory ที่เป็นเทคโนโลยีเก่าไปเสียแล้วสำหรับยุคปัจจุบัน เพราะเป็นการทำงานในช่วง Clock ขาขึ้นเท่านั้น นั้นก็คือ ใน1 รอบสัญญาณนาฬิกา จะทำงาน 1 ครั้ง ใช้ Module แบบ SIMM หรือ Single In-line Memory
Module โดยที่ Module ชนิดนี้ จะรองรับ datapath 32 bit โดยทั้งสองด้านของ circuite board จะให้สัญญาณเดียวกัน
RAM คืออะไร
RAM ย่อมาจากคำว่า Random-Access Memory เป็นหน่วยความจำของระบบ มีหน้าที่รับข้อมูลเพื่อส่งไปให้ CPU ประมวลผลจะต้องมีไฟเข้า Module ของ RAM ตลอดเวลา ซึ่งจะเป็น chip ที่เป็น IC ตัวเล็กๆ ถูก pack อยู่บนแผงวงจร หรือ Circuit Board เป็น module เทคโนโลยีของหน่วยความจำมีหลักการที่แตกแยกกันอย่างชัดเจน 2 เทคโนโลยี คือหน่วยความจำแบบ DDR หรือ Double Data Rate (DDR-SDRAM, DDR-SGRAM) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากเทคโนโลยีของหน่วยความจำแบบ SDRAM และ SGRAM และอีกหนึ่งคือหน่วยความจำแบบ Rambus ซึ่งเป็นหน่วยความจำที่มีแนวคิดบางส่วนต่างออกไปจากแบบอื่นอาจจะกล่าวได้ว่า SDRAM (Synchronous Dynamic Random Access Memory) นั้นเป็น Memory ที่เป็นเทคโนโลยีเก่าไปเสียแล้วสำหรับยุคปัจจุบัน เพราะเป็นการทำงานในช่วง Clock ขาขึ้นเท่านั้น นั้นก็คือ ใน1 รอบสัญญาณนาฬิกา จะทำงาน 1 ครั้ง ใช้ Module แบบ SIMM หรือ Single In-line Memory Module โดยที่ Module ชนิดนี้ จะรองรับ datapath 32 bit โดยทั้งสองด้านของ circuite board จะให้สัญญาณเดียวกัน หน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM นี้พัฒนามาจากหน่วยความจำแบบ SDRAM เอเอ็มดีได้ทำการพัฒนาชิปเซตเองและให้บริษัทผู้ผลิตชิปเซตรายใหญ่อย่าง VIA, SiS และ ALi เป็นผู้พัฒนาชิปเซตให้ ปัจจุบันซีพียูของเอเอ็มดีนั้นมีประสิทธิภาพโดยรวมสูงแต่ยังคงมีปัญหาเรื่องความเสถียรอยู่บ้าง แต่ต่อมาเอเอ็มดีหันมาสนใจกับชิปเซตสำหรับซีพียูมากขึ้น ขณะที่ทางเอเอ็มดีพัฒนาชิ
ปเซตเลือกให้ชิปเซต AMD 760 สนับสนุนการทำงานร่วมกับหน่วยความจำแบบ DDR เพราะหน่วยความจำแบบ DDR นี้ จัดเป็นเทคโนโลยีเปิดที่เกิดจากการร่วมมือกันพัฒนาของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเอเอ็มดี, ไมครอน, ซัมซุง, VIA, Infineon, ATi, NVIDIA รวมถึงบริษัทผู้ผลิตรายย่อยๆ อีกหลายDDR-SDRAM เป็นหน่วยความจำที่มีบทบาทสำคัญบนการ์ดแสดงผล 3 มิติ ทางบริษัท nVidia ได้ผลิต GeForce ใช้คู่กับหน่วยความจำแบบ SDRAM แต่เกิดปัญหาคอขวดของหน่วยความจำในการส่งถ่ายข้อมูลทำให้ทาง nVidia หาเทคโนโลยีของหน่วยความจำใหม่มาทดแทนหน่วยความจำแบบ SDRAM โดยเปลี่ยนเป็นหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM การเปิดตัวของ GeForce ทำให้ได้พบกับ GPU ตัวแรกแล้ว และทำให้ได้รู้จักกับหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM เป็นครั้งแรกด้วย การที่ DDR-SDRAM สามารถเข้ามาแก้ปัญหาคอคอดของหน่วยความจำบนการ์ดแสดงผลได้ ส่งผลให้ DDR-SDRAM กลายมาเป็นมาตรฐานของหน่วยความจำที่ใช้กันบนการ์ด 3 มิติ ใช้ Module DIMM หรือ Dual In-line Memory Module โดย Module นี้เพิ่งจะกำเนิดมาไม่นานนัก มี datapath ถึง 64 bit โดยทั้งสองด้านของ circuite board จะให้สัญญาณที่ต่างกัน
RAM ย่อมาจากคำว่า Random-Access Memory เป็นหน่วยความจำของระบบ มีหน้าที่รับข้อมูลเพื่อส่งไปให้ CPU ประมวลผลจะต้องมีไฟเข้า Module ของ RAM ตลอดเวลา ซึ่งจะเป็น chip ที่เป็น IC ตัวเล็กๆ ถูก pack อยู่บนแผงวงจร หรือ Circuit Board เป็น module เทคโนโลยีของหน่วยความจำมีหลักการที่แตกแยกกันอย่างชัดเจน 2 เทคโนโลยี คือหน่วยความจำแบบ DDR หรือ Double Data Rate (DDR-SDRAM, DDR-SGRAM) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องมาจากเทคโนโลยีของหน่วยความจำแบบ SDRAM และ SGRAM และอีกหนึ่งคือหน่วยความจำแบบ Rambus ซึ่งเป็นหน่วยความจำที่มีแนวคิดบางส่วนต่างออกไปจากแบบอื่นอาจจะกล่าวได้ว่า SDRAM (Synchronous Dynamic Random Access Memory) นั้นเป็น Memory ที่เป็นเทคโนโลยีเก่าไปเสียแล้วสำหรับยุคปัจจุบัน เพราะเป็นการทำงานในช่วง Clock ขาขึ้นเท่านั้น นั้นก็คือ ใน1 รอบสัญญาณนาฬิกา จะทำงาน 1 ครั้ง ใช้ Module แบบ SIMM หรือ Single In-line Memory Module โดยที่ Module ชนิดนี้ จะรองรับ datapath 32 bit โดยทั้งสองด้านของ circuite board จะให้สัญญาณเดียวกัน หน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM นี้พัฒนามาจากหน่วยความจำแบบ SDRAM เอเอ็มดีได้ทำการพัฒนาชิปเซตเองและให้บริษัทผู้ผลิตชิปเซตรายใหญ่อย่าง VIA, SiS และ ALi เป็นผู้พัฒนาชิปเซตให้ ปัจจุบันซีพียูของเอเอ็มดีนั้นมีประสิทธิภาพโดยรวมสูงแต่ยังคงมีปัญหาเรื่องความเสถียรอยู่บ้าง แต่ต่อมาเอเอ็มดีหันมาสนใจกับชิปเซตสำหรับซีพียูมากขึ้น ขณะที่ทางเอเอ็มดีพัฒนาชิ

ประวัติความเป็นมาของ RAM
เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้แรมในการเก็บโปรแกรมและข้อมูลระหว่างการประมวลผล คุณสมบัติที่สำคัญประการหนึ่งของแรมคือความเร็วที่ใช้เข้าหนึ่งตำแหน่งต่างๆ ในหน่วยความจำมีค่าเท่าๆ กัน ซึ่งต่างจากเทคโนโลยีอื่นบางอย่างซึ่งต้องใช้เวลารอกว่าที่บิตหรือไบต์จะมาถึง
ระบบแรกๆ ที่ใช้หลอดสุญญากาศทำงานคล้ายกับแรมในสมัยปัจจุบันถึงแม้ว่าอุปกรณ์จะเสียบ่อยกว่ามาก หน่วยความจำแบบแกนเฟอร์ไรต์ (core memory) ก็มีคุณสมบัติในการเข้าถึงข้อมูลแบบเดียวกัน แนวความคิดของหน่วยความจำที่ทำจากหลอดและแกนเฟอร์ไรต์ก็ยังใช้ในแรมสมัยใหม่ที่ทำจากวงจรรวม
หน่วยความจำหลักแบบอื่นมักเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ที่มีเวลาเข้าถึงข้อมูลไม่เท่ากัน เช่น หน่วยความจำแบบดีเลย์ไลน์ (delay line memory) ที่ใช้คลื่นเสียงในท่อบรรจุปรอทในการเก็บข้อมูลบิต หน่วยความจำแบบดรัม ซึ่งทำงานใกล้เคียงฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบัน เป็นข้อมูลในรูปของแม่เหล็กในแถบแม่เหล็กรูปวงกลม

แรมหลายชนิดมีคุณสมบัติ volatile หมายถึงข้อมูลที่เก็บจะสูญหายไปถ้าปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ แรมสมัยใหม่มักเก็บข้อมูลบิตในรูปของประจุไฟฟ้าในตัวเก็บประจุ ดังเช่นกรณี ไดนามิคแรม หรือในรูปสถานะของฟลิปฟล็อป ดังเช่นของ สแตติกแรม
ปัจจุบันมีการพัฒนาแรมแบบ non-volatile ซึ่งยังเก็บรักษาข้อมูลถึงแม้ว่าไม่มีไฟเลี้ยงก็ตาม เทคโนโลยีที่ใช้ ก็เช่น เทคโนโลยีนาโนทิวจากคาร์บอน (carbon nanotube) และ ปรากฏการณ์ magnetic tunnel
ในฤดูร้อนปี พ.ศ. 2546 มีการเปิดตัวแรมแบบแม่เหล็ก (Magnetic RAM, MRAM) ขนาด 128 Kib ซึ่งผลิตด้วยเทคโนโลยีระดับ 0.18 ไมครอน หัวใจของแรมแบบนี้มาจากปรากฏการณ์ magnetic tunnel ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2547 บริษัท อินฟินิออน (Infineon) เปิดตัวต้นแบบขนาด 16 Mib อาศัยเทคโนโลยี 0.18 ไมครอนเช่นเดียวกัน
สำหรับหน่วยความจำจากคอร์บอนนาโนทิว บริษัท แนนเทโร (Nantero) ได้สร้างต้นแบบขนาน 10 GiB ในปี พ.ศ. 2547
ในเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถจองแรมบางส่วนเป็นพาร์ติชัน ทำให้ทำงานได้เหมือนฮาร์ดดิสก์แต่เร็วกว่ามาก มักเรียกว่า แรมดิสค์ (ramdisk)
รูปแบบของโมดูลแรม
โมดูลแรมแบบต่างๆ จากบนลงล่าง: DIP, SIPP, SIMM 30 พิน, SIMM 72 พิน, DIMM และ DDR DIMM
แรมสารกิ่งตัวนำมักผลิตในรูปของวงจรรวมหรือไอซี ไอซีมักจะนำมาประกอบในรูปของโมดูลสำ
หรับเสียบ มาตรฐานโมดูลแบบต่างๆ ได้แก่
Single in-line Pin Package (SIPP)
Dual in-line Package (DIP)
Single in-line memory module (SIMM)
Dual in-line memory module (DIMM)
โมดูลแรมของบริษัท แรมบัส (Rambus) จริงๆ แล้วคือ DIMM แต่มักเรียกว่า RIMM เนื่องจากสล็อตที่เสียบแตกต่างจากแบบอื่น
Small outline DIMM (SO-DIMM) เป็น DIMM ที่มีขนาดเล็ก ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แล็บท็อป มีรุ่นขนาด 72 (32 บิต), 144 (64 บิต), 200 (72 บิต) พิน
Small outline RIMM (SO-RIMM)
โมดูลแรมแบบต่างๆ จากบนลงล่าง: DIP, SIPP, SIMM 30 พิน, SIMM 72 พิน, DIMM และ DDR DIMM
แรมสารกิ่งตัวนำมักผลิตในรูปของวงจรรวมหรือไอซี ไอซีมักจะนำมาประกอบในรูปของโมดูลสำ

Single in-line Pin Package (SIPP)
Dual in-line Package (DIP)
Single in-line memory module (SIMM)
Dual in-line memory module (DIMM)
โมดูลแรมของบริษัท แรมบัส (Rambus) จริงๆ แล้วคือ DIMM แต่มักเรียกว่า RIMM เนื่องจากสล็อตที่เสียบแตกต่างจากแบบอื่น
Small outline DIMM (SO-DIMM) เป็น DIMM ที่มีขนาดเล็ก ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แล็บท็อป มีรุ่นขนาด 72 (32 บิต), 144 (64 บิต), 200 (72 บิต) พิน
Small outline RIMM (SO-RIMM)
SDRAM
อาจจะกล่าวได้ว่า SDRAM (Synchronous Dynamic Random Access Memory) นั้นเป็น Memory ที่เป็นเทคโนโลยีเก่าไปเสียแล้วสำหรับยุคปัจจุบัน เพราะเป็นการทำงานในช่วง Clock ขาขึ้นเท่านั้น นั้นก็คือ ใน1 รอบสัญญาณนาฬิกา จะทำงาน 1 ครั้ง ใช้ Module แบบ SIMM หรือ Single In-line Memory

DDR - RAM
หน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM นี้พัฒนามาจากหน่วยความจำแบบ SDRAM เอเอ็มดีได้ทำการพัฒนาชิปเซตเองและให้บริษัทผู้ผลิตชิปเซตรายใหญ่อย่าง VIA, SiS และ ALi เป็นผู้พัฒนาชิปเซตให้ ปัจจุบันซีพียูของเอเอ็มดีนั้นมีประสิทธิภาพโดยรวมสูงแต่ยังคงมีปัญหาเรื่องความเสถียรอยู่บ้าง แต่ต่อมาเอเอ็มดีหันมาสนใจกับชิปเซตสำหรับซีพียูมากขึ้น ขณะที่ทางเอเอ็มดีพัฒนาชิปเซตเลือกให้ชิปเซต AMD 760 สนับสนุนการทำงานร่วมกับหน่วยความจำแบบ DDR เพราะหน่วยความจำแบบ DDR นี้ จัดเป็นเทคโนโลยีเปิดที่เกิดจากการร่วมมือกันพัฒนาของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเอเอ็มดี, ไมครอน, ซัมซุง, VIA, Infineon, ATi, NVIDIA รวมถึงบริษัทผู้ผลิตรายย่อยๆ อีกหลายDDR-SDRAM เป็นหน่วยความจำที่มีบทบาทสำคัญบนการ์ดแสดงผล 3 มิติ
ทางบริษัท nVidia ได้ผลิต GeForce ใช้คู่กับหน่วยความจำแบบ SDRAM แต่เกิดปัญหาคอขวดข
องหน่วยความจำในการส่งถ่ายข้อมูลทำให้ทาง nVidia หาเทคโนโลยีของหน่วยความจำใหม่มาทดแทนหน่วยความจำแบบ SDRAM โดยเปลี่ยนเป็นหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM การเปิดตัวของ GeForce ทำให้ได้พบกับ GPU ตัวแรกแล้ว และทำให้ได้รู้จักกับหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM เป็นครั้งแรกด้วย การที่ DDR-SDRAM สามารถเข้ามาแก้ปัญหาคอคอดของหน่วยความจำบนการ์ดแสดงผลได้ ส่งผลให้ DDR-SDRAM กลายมาเป็นมาตรฐานของหน่วยความจำที่ใช้กันบนการ์ด 3 มิติ ใช้ Module DIMM หรือ Dual In-line Memory Module โดย Module นี้เพิ่งจะกำเนิดมาไม่นานนัก มี datapath ถึง 64 bit โดยทั้งสองด้านของ circuite board จะให้สัญญาณที่ต่างกัน
หน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM นี้พัฒนามาจากหน่วยความจำแบบ SDRAM เอเอ็มดีได้ทำการพัฒนาชิปเซตเองและให้บริษัทผู้ผลิตชิปเซตรายใหญ่อย่าง VIA, SiS และ ALi เป็นผู้พัฒนาชิปเซตให้ ปัจจุบันซีพียูของเอเอ็มดีนั้นมีประสิทธิภาพโดยรวมสูงแต่ยังคงมีปัญหาเรื่องความเสถียรอยู่บ้าง แต่ต่อมาเอเอ็มดีหันมาสนใจกับชิปเซตสำหรับซีพียูมากขึ้น ขณะที่ทางเอเอ็มดีพัฒนาชิปเซตเลือกให้ชิปเซต AMD 760 สนับสนุนการทำงานร่วมกับหน่วยความจำแบบ DDR เพราะหน่วยความจำแบบ DDR นี้ จัดเป็นเทคโนโลยีเปิดที่เกิดจากการร่วมมือกันพัฒนาของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเอเอ็มดี, ไมครอน, ซัมซุง, VIA, Infineon, ATi, NVIDIA รวมถึงบริษัทผู้ผลิตรายย่อยๆ อีกหลายDDR-SDRAM เป็นหน่วยความจำที่มีบทบาทสำคัญบนการ์ดแสดงผล 3 มิติ
ทางบริษัท nVidia ได้ผลิต GeForce ใช้คู่กับหน่วยความจำแบบ SDRAM แต่เกิดปัญหาคอขวดข

RAMBUS
Rambus นั้นทางอินเทลเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนหลักมาตั้งแต่แรกแล้ว Rambus ยังมีพันธมิตรอีกเช่น คอมแพค, เอชพี, เนชันแนล เซมิคอนดักเตอร์, เอเซอร์ แลบอเรทอรีส์ ปัจจุบัน Rambus ถูกเรียกว่า RDRAM หรือ Rambus DRAM ซึ่งออกมาทั้งหมด 3 รุ่นคือ Base RDRAM, Concurrent RDRAM และ Direct RDRAM RDRAM แตกต่างไปจาก SDRAM เรื่องการออกแบบอินเทอร์-เฟซของหน่วยความจำ Rambus ใช้วิธีการจัด address การจัดเก็บและรับข้อมูลในแบบเดิม ในส่วนการปรับปรุงโอนย้ายถ่ายข้อมูล ระหว่าง RDRAM ไปยังชิปเซตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีอัตราการส่งข้อมูลเป็น 4 เท่าของความเร็ว FSB ของตัว RAM คือ มี 4 ทิศทางในการรับส่งข้อมูล เช่น RAM มีความเร็ว BUS = 100 MHz คูณกับ 4 pipline จะเท่ากับ 400 MHz
วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการขนถ่ายข้อมูลของ RDRAM นั้นก็คือ จะใช้อินเทอร์เฟซเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Rambus Interface ซึ่งจะมีอยู่ที่ปลายทางทั้ง 2 ด้าน คือทั้งในตัวชิป RDRAM เอง และในตัวควบคุมหน่วยความจำ (Memory controller อยู่ในชิปเซต) เป็นตัวช่วยเพิ่มแบนด์วิดธ์ให้ โดย Rambus Interface นี้จะทำให้ RDRAM สามารถขนถ่ายข้อมูลได้สูงถึง 400 MHz DDR หรือ 800 เมกะเฮิรตซ์ เลยทีเดียว
แต่การที่มีความสามารถในการขนถ่ายข้อมูลสูง ก็เป็นผลร้ายเหมือนกัน เพราะทำให้มีความจำเป็นต้องมี Data path หรือทางผ่านข้อมูลมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อรองรับปริมาณการขนถ่ายข้อมูลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ขนาดของ die บนตัวหน่วยความจำต้องกว้างขึ้น และก็ทำให้ต้นทุนของหน่วยความจำแบบ Rambus นี้ สูงขึ้นและแม้ว่า RDRAM จะมีการทำงานที่ 800 เมกะเฮิรตซ์ แต่เนื่องจากโครงสร้างของมันจะเป็นแบบ 16 บิต (2 ไบต์) ทำให้แบนด์วิดธ์ของหน่วยความจำชนิดนี้ มีค่าสูงสุดอยู่ที่ 1.6 กิกะไบต์ต่อวินาทีเท่านั้น (2 x 800 = 1600) ซึ่งก็เทียบเท่ากับ PC1600 ของหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM
Rambus นั้นทางอินเทลเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนหลักมาตั้งแต่แรกแล้ว Rambus ยังมีพันธมิตรอีกเช่น คอมแพค, เอชพี, เนชันแนล เซมิคอนดักเตอร์, เอเซอร์ แลบอเรทอรีส์ ปัจจุบัน Rambus ถูกเรียกว่า RDRAM หรือ Rambus DRAM ซึ่งออกมาทั้งหมด 3 รุ่นคือ Base RDRAM, Concurrent RDRAM และ Direct RDRAM RDRAM แตกต่างไปจาก SDRAM เรื่องการออกแบบอินเทอร์-เฟซของหน่วยความจำ Rambus ใช้วิธีการจัด address การจัดเก็บและรับข้อมูลในแบบเดิม ในส่วนการปรับปรุงโอนย้ายถ่ายข้อมูล ระหว่าง RDRAM ไปยังชิปเซตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น มีอัตราการส่งข้อมูลเป็น 4 เท่าของความเร็ว FSB ของตัว RAM คือ มี 4 ทิศทางในการรับส่งข้อมูล เช่น RAM มีความเร็ว BUS = 100 MHz คูณกับ 4 pipline จะเท่ากับ 400 MHz
วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการขนถ่ายข้อมูลของ RDRAM นั้นก็คือ จะใช้อินเทอร์เฟซเล็ก ๆ ที่เรียกว่า Rambus Interface ซึ่งจะมีอยู่ที่ปลายทางทั้ง 2 ด้าน คือทั้งในตัวชิป RDRAM เอง และในตัวควบคุมหน่วยความจำ (Memory controller อยู่ในชิปเซต) เป็นตัวช่วยเพิ่มแบนด์วิดธ์ให้ โดย Rambus Interface นี้จะทำให้ RDRAM สามารถขนถ่ายข้อมูลได้สูงถึง 400 MHz DDR หรือ 800 เมกะเฮิรตซ์ เลยทีเดียว

แต่การที่มีความสามารถในการขนถ่ายข้อมูลสูง ก็เป็นผลร้ายเหมือนกัน เพราะทำให้มีความจำเป็นต้องมี Data path หรือทางผ่านข้อมูลมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อรองรับปริมาณการขนถ่ายข้อมูลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งนั่นก็ส่งผลให้ขนาดของ die บนตัวหน่วยความจำต้องกว้างขึ้น และก็ทำให้ต้นทุนของหน่วยความจำแบบ Rambus นี้ สูงขึ้นและแม้ว่า RDRAM จะมีการทำงานที่ 800 เมกะเฮิรตซ์ แต่เนื่องจากโครงสร้างของมันจะเป็นแบบ 16 บิต (2 ไบต์) ทำให้แบนด์วิดธ์ของหน่วยความจำชนิดนี้ มีค่าสูงสุดอยู่ที่ 1.6 กิกะไบต์ต่อวินาทีเท่านั้น (2 x 800 = 1600) ซึ่งก็เทียบเท่ากับ PC1600 ของหน่วยความจำแบบ DDR-SDRAM
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)